เมนู

อัจฉราสังฆาตวรรคที่ 6



ว่าด้วยเหตุให้จิตเศร้าหมองและผุดผ่องเป็นต้น



[52] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล
เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มีได้สดับ ย่อมจะไม่
ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มีได้
สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต.
[53] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้น
วิเศษแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อม
ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวก
ผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิต.
[54] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุซ่องเสพเมตตาจิต แม้ชั่ว
กาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่าง
จากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉัน
บิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะกล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิต
นั้นให้มากเล่า.
[55] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญเมตตาจิต แม้ชั่ว
กาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่าง
จากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉัน

บิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะกล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิต
นั้นให้มากเล่า.
[56] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุใส่ใจเมตตาจิต แม้ชั่วกาล
เพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจาก
ฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉัน
บิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะกล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิต
นั้นให้มากเล่า.
[57] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรมที่เป็นไปในส่วนอกุศล
ที่เป็นไปในฝักฝ่ายอกุศลทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจเกิดก่อนธรรม
เหล่านั้น อกุศลธรรมเกิดหลังเทียว.
[58] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมที่เป็นไปในส่วนบุคคล
ที่เป็นไปในฝักฝ่ายกุศลทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจเกิดก่อนธรรม
เหล่านั้น กุศลธรรมเกิดหลังเทียว.
[59] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไปเหมือนความประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อบุคคลประมาทแล้ว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และ
กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[60] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไปเหมือนความไม่ประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เมื่อบุคคลไม่ประมาทแล้ว กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และ
อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[61] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่าง
หนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรม
ที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไปเหมือนความเป็นผู้เกียจคร้าน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลเกียจคร้านแล้ว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อม
เกิดขึ้น และกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.

จบ อัจฉราสังฆาตวรรคที่ 6

อรรถกถาอัจฉราสังฆาตวรรคที่ 6



อรรถกถาสูตรที่ 1



วรรคที่ 6 สูตรที่ 1

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตํ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน ความว่า ปุถุชน เว้นแล้วจาก
การศึกษาภวังคจิตนั้น. ในบทว่า ตํ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นั้น ชื่อว่า
ไม่ได้ศึกษาไญยธรรมเพราะไม่มีอาคมนิกายที่จะเรียน และอธิคม
มรรคผลที่จะบรรลุ. จริงอยู่บุคคลใดสอบสวนพระสูตรนี้ โดยเนื้อ
ความตั้งแต่ต้น ยังไม่รู้ด้วยอำนาจนิกาย คือคัมภีร์ที่มาของสูตรนี้
โดยเนื้อความตั้งแต่ต้น ยังไม่รู้ด้วยอำนาจนิกาย คือคัมภีร์ที่มา
ของสูตรนี้ และด้วยอำนาจมรรคผล อันผู้ปฏิบัติพึงบรรลุว่า ชื่อว่า
ภวังคจิตนี้ แม้บริสุทธิ์ตามปกติ ก็เศร้าหมอง เพราะอุปกิเลสมี
โลภะเป็นต้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ในขณะแห่งชวนจิต. อนึ่งผู้ใดไม่มีนิกาย
เป็นที่มา อันจะขบธรรมให้เข้าใจตามความเป็นจริง เพราะเว้นการ
เรียนสละการสอบถามในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปัจจยาการและ
สติฐานเป็นต้น และไม่มีอธิคม เพราะไม่ได้บรรลุมรรคผล ที่
จะพึงบรรลุด้วยการปฏิบัติ ผู้นั้นชื่อว่า ไม่ศึกษาไญยธรรม เพราะ
ไม่มีอาคมและอธิคม.

ปุถูนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโน
ปุถุชฺชนนฺโตคธตฺตา ปุถุ วายํ ชโน อิติ.